วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

การเรียนรู้ตามแนวพุทธิปัญญานิยม

การเรียนรู้ตามแนวพุทธิปัญญานิยม
กลุ่มพุทธิปัญญานิยม (Cognitivism)  เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มากกว่าผลของการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าการตอบสนอง โดยให้ความสนใจในกระบวนการภายในที่เรียกว่า ความรู้ความเข้าใจ หรือการรู้คิดของมนุษย์
การเรียนรู้ตามแนวพุทธิปัญญา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความรู้ของผู้เรียนทั้งทางด้านปริมาณและด้านคุณภาพ คือ นอกจากผู้เรียนจะมีสิ่งที่เรียนรู้เพิ่มขึ้นแล้ว  ยังสามารถจัดรวบรวมเรียบเรียงสิ่งที่เรียนรู้เหล่านั้นให้เป็นระเบียบ เพื่อให้สามารถเรียกกลับมาใช้ได้ตามที่ต้องการ  และสามารถถ่ายโยงความรู้และทักษะเดิม  หรือสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว ไปสู่บริบทและปัญหาใหม่ (Mayer, 1992) อาจกล่าวได้ว่าการเรียนรู้ตามแนวคิดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนสามารถวางสารสนเทศใหม่ในความจำระยะยาว (Long-term memory) ซึ่งจะแตกต่างกันการเรียนรู้ของพฤติกรรมนิยมที่จะอธิบายเพียงเฉพาะพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกมา
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิปัญญานิยมได้พัฒนามาตั้งแต่ปี 1950s, 1960s และ 1970s เป็นต้นมา และรากฐานของหลักทฤษฎีนั้นมาจากการศึกษาวิจัยการเรียนรู้ของมนุษย์ในห้องทดลองที่ที่ถูกกำหนดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและการควบคุมสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น เพียเจต์      บรูเนอร์ และออซูเบล เป็นต้น ตามแนวคิดนี้บทบาทของผู้เรียนจะรอรับสารสนเทศ ในขณะที่บทบาทของครูจะเป็นผู้นำเสนอสารสนเทศ เช่น หนังสือ และการบรรยาย ซึ่งการได้มาซึ่งความรู้หรือการเรียนรู้ตามแนวคิดนี้ก็คือปริมาณของสารสนเทศที่ได้รับจากการถ่ายทอดโดยตรงจากครูไปยังผู้เรียน ส่วนบทบาทของนักออกแบบสื่อคือผู้สร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสามารถรับสารสนเทศไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ (Memory) ได้ในปริมาณมาก
เทคโนโลยีและสื่อการศึกษาตามแนวพุทธิปัญญานิยม
การออกแบบเทคโนโลยีและสื่อตามแนวคิดนี้จะอยู่บนนิยามเกี่ยวกับการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงความรู้ของผู้เรียน ทั้งทางด้านปริมาณและด้านคุณภาพ หรือการเรียนรู้เป็นผลมาจากการจัดระเบียบ หรือ จัดหมวดหมู่ของความจำลงสู่โครงสร้างทางปัญญา หรือเรียกว่า Mental Models คือ นอกจาก ผู้เรียนจะมีสิ่งที่เรียนรู้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังสามารถจัดรวบรวมเรียบเรียงสิ่งที่เรียนรู้เหล่านั้น ให้เป็นระเบียบ เพื่อให้สามารถเรียกกลับมาใช้ได้ตามที่ต้องการและสามารถถ่ายโยงความรู้ และทักษะเดิม หรือสิ่งที่เรียนรู้มาแล้วไปสู่บริบทและปัญหาใหม่" (Mayer,1996) ซึ่งจะแตกต่างกับการออกแบบเทคโนโลยีและสื่อที่อาศัยพื้นฐานพฤติกรรมนิยมที่มุ่งเน้นพฤติกรรม ที่สังเกตได้เท่านั้น โดยมิได้สนใจกับกระบวนการรู้คิด หรือกิจกรรมทางสติปัญญาของมนุษย์ (Mental Activities) แต่กลุ่มพุทธิปัญญานิยมให้ความสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับ "ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งเร้าภายนอก (ส่งผ่านโดยสื่อต่างๆ) กับสิ่งเร้าภายใน คือ ความรู้ความเข้าใจ หรือ กระบวนการรู้คิด หรือกระบวนการรู้คิด (Cognitive Process) ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรู้การคิด (Cognitive Process) ดังจะเห็นได้จากการออกแบบการสอน และสื่อที่ได้มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการทางปัญญามากกว่า การเน้นเฉพาะการพัฒนาพฤติกรรม ที่สนองต่อสิ่งเร้าเพียงอย่างเดียว
แนวคิดที่สำคัญของการออกแบบมุ่งเน้นการสนับสนุนกระบวนการทางพุทธิปัญญาของผู้เรียนโดยเฉพาะบทบาทของการใช้หน่วยความจำ (Memory) เพื่อช่วยในการแปลสารสนเทศใหม่ลงไปในรูปแบบที่มีความหมายสำรับผู้เรียนในการบันทึกความรู้และการนำความรู้ที่เก็บไว้กลับมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยลักษณะที่สำคัญของการออกแบบเทคโนโลยีและสื่อตามแนวพุทธิปัญญาเป็นดังนี้
1. การจัดระเบียบสารสนเทศใหม่และสร้างโครงสร้างสารสนเทศให้กับผู้เรียน เพราะว่ากิจกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์จะพยายามค้นหาและเรียงลำดับของสารสนเทศเพื่อใช้ในการทำความเข้าใจ ดังนั้นหากผู้สอนมีการจัดระเบียบสารสนเทศจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างโครงสร้างความเข้าใจในหน่วยความจำได้ง่าย เช่น การสร้างโครงร่างของเนื้อหา การจัดความคิดรวบยอดที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาที่จะเรียนรู้ (Concept map) เป็นต้น
2. การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสารสนเทศใหม่กับความรู้เดิม วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความหมายและเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (Ormrod, 1995)
3. ใช้เทคนิคเพื่อแนะนำและสนับสนุนให้ผู้เรียนใส่ใจ เข้ารหัสและเรียกสารสนเทศกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งมีเทคนิคที่ผู้สอนควรนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนดังนี้ (
Baine, 1986)
     3.1 การมุ่งเน้นคำถาม (Focusing question) ซึ่งนำมาใช้ในขั้นนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใส่ใจในสิ่งที่จะเรียนรู้
     3.2 การเน้นคำหรือข้อความ (Highlighting) เป็นเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนใส่ใจสานสนเทศได้โดยตรง โดยเฉพาะสารสนเทศที่สำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนใส่ใจเป็นพิเศษ เช่น การใช้ตัวอักษรหนา การขีดเส้นใต้ การทำตัวอักษรเอียง การใช้เครื่องหมาย “...” เป็นต้น
     3.3 การใช้ Mnemonic เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถบันทึกสารสนเทศและเรียกกลับมาใช้ได้ง่าย ดังเช่น การใช้คำคล้องจอง การแต่งเป็นบทเพลงที่ต้องให้ผู้เรียนจดจำสระไอ ไม้ม้วนทั้ง 20 ตัว (ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ...) เป็นต้น
     3.4 การสร้างภาพ (Imagery) เป็นการสร้างภาพที่เป็นตัวแทนสารสนเทศใหม่ที่ได้รับ ซึ่งจะมีความถูกต้องและสอดคล้องกับสารสนเทศที่เรียนรู้ เช่น การสร้างความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสุนัข การใช้เทคนิคการสร้างภาพก็จะพยายามนึกถึงคุณลักษณะร่วมและลักษณะเฉพาะที่สุนัขมีออกมาในรูปแบบของภาพ คือ มีสี่ขา มีหนาและก็เห่าได้ ภาพเหล่านี้ผู้เรียนจะสร้างขึ้นภาพในสมอง และนำไปบันทึกไว้ในหน่วยความจำ และเมื่อต้องการใช้สารสนเทศก็จะถูกเรียกกลับมาในลักษณะที่เป็นภาพที่แทนสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง : http://www.iteachercafe.com  สืบค้น เมื่อ 21 กันยายน 2554 เวลา 13.00 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น